วันพฤหัสบดีที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2554

"หนังเด่นโดนใจ" ในรอบครึ่งปีแรก 2010


"หนังเด่นโดนใจ" ในรอบครึ่งปีแรก 2010

ผ่านมาครึ่งทางของปี 2010 ท่ามกลางหนังจำนวนมากที่ผ่านตามาก็นับว่ามีทั้งที่เป็นหนังฟอร์มใหญ่ที่ถูกใจสมการรอคอยบ้าง หรือผิดหวังบ้าง จริงๆช่วงครึ่งปีแรกนี้มีหนังน่าสนใจเยอะทีเดียว แต่ส่วนมากมักออกแนวหลอกให้อยากดู แล้วจากไป(พร้อมความเสียดายตัง)หลังดูจบสะมากกว่า 

ครั้งนี้ถือเป็นการจัดอันดับเป็นปีที่ 2 แล้ว ที่รวบรวม “หนังเด่นโดนใจ” 20 อันดับของตัวเองเอาไว้ ส่วนจะมีเรื่องอะไรบ้างนั้นก็ไปดูกันเลยดีกว่า 

(ทุกเรื่องนับใช้เกฑณ์เป็นหนังที่ฉาย หรือ ลงแผ่นในบ้านเราช่วงครึ่งปีแรก 2010 นี้ครับ)




20.Cloudy with a Chance of Meatballs


อนิเมชั่นที่มี “ดี” กว่า ที่คิดครับ ไม่ว่าจะเป็นงานด้านภาพที่งดงาม , มุขตลกที่ลงตัว และที่แน่ๆเลยก็คือนอกจากอิ่มใจจากข้อคิดและความบันเทิงรสเด็ดจากอนิเมชั่น เรื่องนี้แล้ว คุณอาจจะรู้สึกหิวไปพร้อมกันหลังชมจบก็เป็นได้!!



19.Percy Jackson & the Olympians: The Lightning Thief


“สายฟ้าหายไป แต่ ความบันเทิงยังอยู่ครบ กับเทพนิยายกรีกเวอร์ชั่นเด็กแนว"

ถือเป็นหนังแฟนตาซี ที่ดูสนุกและให้ความบังเทิงมากเรื่องหนึ่ง นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นถึงภาพโลกในยุคไอทีที่ผสมเข้ากับโลกของนิยายกรีกโบราณได้อย่างกลมกลืนและน่าตื่นตาตื่นใจ (ส่วนตัวคิดว่าเรื่องนี้ดูสนุกกว่า Clash of the Titans หนังนิยายกรีกฟอร์มยักษ์อีกเรื่องที่เข้าฉายห่างกันไม่มากอีกด้วยในปีนี้)



18.Valentine's Day


ทีมนักแสดงชุดใหญ่อย่าง Ashton Kutcher, Anne Hathaway, Jennifer Garner, Jamie Foxx, Patrick Dempsey, Bradley Cooper, Jessica Biel, Jessica Alba, Topher Grace, Queen Latifah, Emma Roberts, George Lopez, Julia Roberts, Taylor Swift และ Taylor Lautner มาอยู่รวมกันในหนังเรื่องเดียว ที่เล่าเรื่องราวของวันแห่งความรัก ผลที่ได้คิอหนังโรแมนติดที่ดูได้มิรู้เบื่อครับ



17.บ้านฉัน..ตลกไว้ก่อน(พ่อสอนไว้)


หนังไทยหนึ่งเดียวในช่วงครึ่งปีแรก ที่ให้ความอบอุ่นและอิ่มเอมใจอย่างที่สุด



16.The Lovely Bones


ในบ้านเราเรื่องนี้เพิ่งออกเป็นดีวีดีครับ นอกจากรายชื่อของนักแสดงที่น่าสนใจอย่าง Mark Wahlberg, Rachel Weisz, Susan Sarandon และ Saoirse Ronan แล้ว หนังเรื่องนี้ยังถือว่ามีประเด็นอะไรให้คิดเยอะทีเดียวครับ บวกกับเนื้อหาที่เป็นแฟนตาซีปนดราม่าหนักๆยิ่งทำให้หนังดูสนุกยิ่งขึ้น

Mark Wahlberg แสดงสีหน้ากังวลและไม่สบายใจได้ดีตลอดทั้งเรื่องครับ รวมไปถึงสาวน้อย Saoirse Ronan และฉากที่ชอบมากที่สุดก็คงเป็นฉากที่ตัวละครของ Mark Wahlberg ทำลาย ‘เรือในขวดแก้ว’ ทีละขวดๆ พร้อมสลับภาพมาที่ชายหาดที่ขวดเรือยักษ์ค่อยๆกระแทกฝั่งแตกทีละขวดๆ (ใครดูแล้วคงนึกภาพออกนะครับ )



15.Remember Me


คุณค่าของการมีชีวิตอยู่ อาจไม่ได้อยู่ที่ว่า "เราสามารถรักใครไปได้ตลอดชีวิตของเราหรือไม่ แต่อาจอยู่ที่ว่า ในวินาทีที่อยู่ตรงหน้า คุณกล้ารักคนๆ นั้นได้มากแค่ไหน” 

Robert Pattinson พิสูจน์ให้ผู้ชมทั่งโลกได้เห็นจากหนังเรื่องนี้ว่าเขาสามารถแสดงบทดราม่าหนักๆได้ มากกว่าบทแวมไพร์ใน Twilight นอกจากการแสดงของ Robert ที่น่าสนใจแล้ว หนังเรื่องนี้ยังมีเนื้อหาและการดำเนินเรื่องที่น่าสนใจไม่แพ้กันครับ หนังให้อารมณ์เหงาๆ โรแมนติก โดดเดี่ยว และ ความเจ็บปวดจากการสูญเสียไปพร้อมๆกันได้อย่างน่าประหลาดใจ โดยเฉพาะฉากจบของเรื่องที่เล่นเอาจิตตกไปหลายวันเลยทีเดียว


14.The A-Team


“แอกชั่น มันส์ กระจาย ชนิดที่ไม่ได้ดูมานาน”



13.The Princess and the Frog


ดิสนีย์กลับมาสู่เส้นทางที่คนทั่วโลกเคยหลงใหลอีกครั้งในการกลับมาของอนิเมชั่น 2D ที่แฟนๆไม่ได้สัมผัสมานาน หนังยังคงเนื้อหาสไตล์คลาสสิก มุขตลก และบทเพลงไพเราะ นั่นทำให้นี่เป็นอีกหนึ่งอนเมชั่นที่ดูสนุกได้ไม่ยากครับ



12.AIR DOLL


ผลงานของผู้กำกับ โคริเอดะ ฮิโรคาสึ (Nobody Knows)ที่นำเสนอเรื่องราวแนวคิดสุดบรรเจิดที่ว่าด้วยอะไรจะเกิดขึ้นเมื่อตุ๊กตายองเกิดมีชีวิตขึ้นมาเป็นคนจริงๆ!? หลายคนได้ยินพล็อกก็อย่าเพิ่งคิดว่าเป็นหนังแนวทะลึ่งตึงตังไปสะก่อน เพราะ หนังเรื่องเน้นไปที่เรื่องของการค้นหาว่าตุ๊กตายางจะมีหัวใจที่จะรัก และพบรักแท้ได้หรือเปล่า หลายๆฉากในหนังสื่ออารมณ์ตัวละครที่ใสซื่อต่อโลกใบนี้ได้อย่างน่าใจครับ รวมไปถึงหลายฉากที่สะเทือนอารมณ์อย่างที่สุด

"แบดูนา" ดาราสาวเกาหลีที่มารับบทตุ๊กตายางมีชีวิตในหนังปลาดิบเรื่องนี้ เธอเล่นได้ดีมากๆครับ ด้วยใบหน้า ลักษณะท่าทาง ล้วนทำให้ผู้ชมเชื่อได้หมดใจเลยว่าเธอเป็นอย่างในหนังจริงๆ

ปล.ระหว่างดูหนังเรื่องนี้แอบนึกไปถึงเรื่อง Pinocchio และ Cyborg She นิดๆ



11.Green Zone


ผู้กำกับ Paul Greengrass ยังคงตอกย้ำการทำหนังแอกชั่นสไตล์ของตัวเองได้อย่างชัดเจนจากหนังเรื่องนี้ และนี่แทบจะเป็นหนังแอกชั่นเรื่องเดียวในรอบครึ่งปีแรกที่เดินเรื่องไปข้างหน้าชนิดเข้มข้นและไม่ปล่อยให้ผู้ชมได้พักหายใจหายคอกันเลยในช่วง 40 นาทีแรกของเรื่อง !! ก่อนที่หนังจะผ่อนความตึงเครียดลงในช่วงกลางเรื่อง และกลับมาเดินเรื่องเต็มสตรีมอีกครั้งในช่วงครึ่งหลังของหนังครับ

Matt Damon กลับมาร่วมงานกับผู้กำกับคู่บุญอีกครั้งหลังประสบความสำเร็จสุดๆกับ The Bourne Supremacy (2004) และ The Bourne Ultimatum (2007) และเขาก็ยังดูเหมาะกับบททหารที่เริ่มแครงใจกับแหล่งข่าวภายในของกองทัพว่าต้องมีอะไรในก่อไผ่แน่ๆ 

Green Zone นอกจากจะเป็นหนังแอกชั่นแล้ว ในส่วนของเนื้อหายังมีการกัดจิกสหรัฐฯในเรื่องของการบุกอิรักได้อย่างเจ็บแสบพอควรครับ ไล่ตั้งแต่ชื่อเรื่องของหนัง ที่เมื่อมองจากเนื้อหาที่แอกชั่นสนั่นจอแล้ว ไหงถึงชื่อแนวสันติว่า “Green Zone” ในที่นี้ขอมองว่า พื้นที่อันตรายที่สุดไม่ใช่พื้นที่ของกลุ่มผู้ต่อต้านอาหรับที่เหล่าทหาร(ของหน่วยพระเอก) ต้องออกไปเสี่ยงชีวิตทุกวัน แต่เป็นพื้นที่บริเวณปลอดภัยสีเขียวนี้มากกว่าที่อันตรายและเป็นภัยต่อพวกเขาเองที่สุด เพราะในหนังผู้ชมจะเห็นว่าเป็นคนใหญ่คนโตกองทัพที่พยายามสร้างเรื่อง กุข่าวขึ้นมาและส่งทหารออกไปตายชัดๆ !



10.Rab Ne Bana Di Jodi แร๊พนี้เพื่อเธอ


นี่คือหนังอินเดียที่ผมเฝ้ารอดูมาปีกว่าตั้งแต่ได้อ่านเนื้อเรื่องย่อในนิตยสารฉบับหนึ่งจนบ้านเราเพิ่งจะจับมาลงแผ่นเมื่อกลางปีนี่เอง เพราะนอกจากเนื้อหาที่น่าสนใจแล้ว หนังยังได้พระเอกอินเดียขวัญใจอย่าง “ชาห์รุค ข่าน” ที่ผมเชื่อว่าคอหนังอินเดียไม่มีใครไม่รู้จักเขาคนนี้แน่ๆ (หลายคนรู้จักแกในชื่อ เบิร์ด บอมเบย์) กับนางเอกสาวใหม่ถอดด้าม “อนุชก้า ชัรมาร์” ด้านพระเอกนั้นเรื่องฝีมือ ร้องเล่นเต้นรำนั้นขั้นเทพของวงการหน้าอินเดียไปแล้วไม่ต้องห่วง ส่วนนางเอกสาวนั้น เล่นได้น่ารักน่าชังมากครับ บวกกับหน้าโทนลูกครึ่งๆยิ่งทำให้เธอดูสวยใสมากทีเดียว 

หนังว่าด้วยเรื่องของ สุรินทร์ดาร์ ซานี่ (ชาห์รูค ข่าน) ชายผู้เรียบง่ายจิตใจสะอาดและซื่อสัตย์ทำงานให้กับบริษัท ปันจาบ พาวเวอร์ ใช้ชีวิตอย่างจืดชืด เมื่อเขาพบคนที่ตรงกันข้ามกับเขาอย่างสิ้นเชิงและพบรักกับสาวหรูหราร่าเริง มีชีวิตชีวา ตานี (อนุชก้า ชัรมาร์) ผู้ที่โลกทั้งโลกคือผืนผ้าของเธอซึ่งเธอวาดชีวิตของเธอด้วยสีสันของรุ้ง จนกระทั่งสถานการณ์ที่ไม่ได้คาดฝันเปลี่ยนแปลงทุกอย่างและนำพาพวกเขามาอยู่ ด้วยกัน

Rab Ne Bana Di Jodi เป็นหนังที่ผสมส่วนของความโรแมนติก และ ความเป็นดราม่าของชีวิตคู่ได้อย่างลงตัวมากจนน่าตกใจ ทั้งยังมีความบันเทิงในส่วนของการดำเนินเรื่องที่ลื่นไหล บวกกับหลากเพลงไพเราะตามสไตล์บอลลีวูดทำให้หนังดูสนุก และลงตัวยิ่งขึ้นครับ 



9.Knight & Day


ตัวหนังสนุกมากไม่ทำให้ผิดหวังครับ Tom Cruise และ Cameron Diaz สาดเสน่ห์ทะลุจอจริงๆ นับเป็นการแสดงคู่กันที่ลงตัวมากๆ ด้านฉากแอกชั่นถ้าไม่ดูชื่อเรื่องก่อนเข้าโรง อาจจะคิดได้ว่านี่คือ Mission impossible ภาค 4 ของเฮีย Tom เลยเชียว! ถ้ามองข้ามเนื้อหาที่สูตรสำเร็จไปนิด (และตอนจบแบบเดาทางได้) นี่ก็ถือเป็นหนังแอกชั่นคอมเมดี้ที่ดูสนุกที่สุดเรื่องหนึ่งของปีเลยทีเดียว 



8.Iron Man 2


แอกชั่นมันส์กว่าภาคแรกหลายเท่าตัว แม้เนื้อหาจะดูไม่ค่อยลงตัวนักก็ตาม แต่ก็ปฎิเสธไม่ได้ว่านี่คือความบันเทิงดีกรีสูงที่เราเฝ้ารอคอยมาหลายปีหลังได้ชมหนังภาคแรก



7.Chloe


ผู้กำกับ “Atom Egoyan” พิถี พิถันในการถ่ายทอดเรื่องราวของหนังเรื่องนี้ได้อย่างละเมียดอารมณ์ และ ชวนติดตาม แม้เนื้อหาดูจะไม่น่าจะมีอะไรซับซ้อนมาก กับเรื่องราวของ 2 ผัวเมียที่มีปัญหา พร้อม การเข้ามาของสาวน้อยนางหนึ่งที่เข้ามาเปลี่ยนชีวิตของทุกคนที่เกี่ยวข้อง พร้อมตัวละครเพียงไม่กี่ตัวที่ใช้ในการเดินเรื่อง ผู้กำกับ Egoyan ใช้ ความฉลาดในการเล่าเรื่อง โดยการใส่ “ลูกเล่น” ลงไปในตัวของบทเพื่อให้ผู้ชมได้เดาเนื้อเรื่องได้อย่างหลากหลายและพลิกไปมา อยู่ตลอดเวลา ซึ่งนอกจากมันจะทำให้หนังดูมีชั้นเชิงมากขึ้นแล้ว มันยังส่งผลในเรื่องความสมบูรณ์ในส่วนของ “อารมณ์ตัวละคร” นั้นๆอีกด้วย Egoyan นอกจากจะแสดงฝีมือในการถักทอนำเสนอเรื่องราวแล้ว ยังแสดงให้เห็นถึง การเล่นกับอารมณ์ของผู้ชมตั้งเริ่มเรื่องจนถึงฉากจบที่เชื่อเลยว่ามันกระชาก อารมณ์และกรีดหัวใจผู้ชมอย่างลึกๆ เรื่องหนึ่งในทำเนียบหนังแนวนี้เลยทีเดียว



6.The Hurt Locker


แม้หลายคนจะบ่นว่าไม่ค่อยชอบหนังยอดเยี่ยมแห่งปีเรื่องนี้ ของผกก. สาว Kathryn Bigelow สักเท่าไหร่ แต่ส่วนตัวแล้ว The Hurt Locker คือหนังที่ผมชอบมากๆเรื่องหนึ่งของครึ่งปีนี้ครับ ไม่ว่าจะเป็นการเดินเรื่อง การสร้างสรรค์ตัวละคร รวมไปถึงบทสรุปในตอนจบที่โดนใจสุดๆ

ตัวละคร William James (ที่รับบทโดย Jeremy Renner) เขาเสี่ยงชีวิตปลดระเบิดมาแล้วหลายร้อยลูก เขาคือมือพระกาฬของทีมกู้ระเบิด แต่มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่เขาไม่เคยที่จะปลดได้นั่นก็คือการปลดตัวเองออกจากงานที่ทำ ฉากการไปเดินซื้อของกินในห้างกับครอบครัวในช่วงใกล้จบของหนัง ผู้ชมจะรู้สึกได้ทันทีเลยว่าตัวละคร William James กำลังคิดว่าที่นี่ไม่เหมาะสำหรับคนอย่างเขา และนั่นเป็นที่มาของประโยคที่เขาพูดกับลูกวัยทารกของเขาที่ว่า

“เมื่อลูกยังเป็นเด็ก ลูกจะตื่นเต้นกับทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นของเล่นชิ้นไหน หรืออะไรก็ตามที่ลูกได้พบเจอ ลูกจะรักมันไปสะทุกอย่าง แต่สักวันหนึ่งเมื่อคนเราโตขึ้น ลูกจะพบว่ายิ่งเราโตขึ้นเท่าไหร่ ของที่เรารักก็จะเหลือน้อยลงเท่านั้น และตอนนี้สำหรับพ่อแล้ว สิ่งที่พ่อรักมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ......” (หนังตัดฉากไป พร้อมกับฉากจบที่โดนสุดๆ!)



5.How to Train Your Dragon


อนิเมชั่น “ม้ามืด” แห่งปีที่เข้ามาเบียดพื้นที่ ‘อนิเมชั่นในดวงใจ’ อันดับต้นๆไปครอบครอง



4.Kick-Ass


“มันเป็นหนังฮีโร่ที่ !#@โครตเจ๋งเลย !!!”

KICK ASS นอกจากจะเป็นหนังฮีโร่มันส์สาด กราดกระสุนเต็มขั้นแล้ว มันยังมีเนื้อหาและฝากข้อคิดได้อย่างเจ็บแสบด้วยเช่นกัน อย่างประโยคข้างต้นมันสะท้อนว่าถึงแม้เราจะเป็นเพียงคนธรรมดาๆในสังคมเน่าๆ เราก็ต้องรู้จักคำว่า "รับผิดชอบ" ซึ่งคำว่ารับผิดชอบตรงนี้ไม่ได้หมายถึงรับผิดชอบต่อตนเองเพียงอย่างเดียว แต่รวมไปถึงการรับผิดชอบต่อสังคมด้วย ในแง่ที่ว่าเมื่อพบเห็นความไม่ยุติธรรมเกิดขึ้นตรงหน้า เราจะเลือกที่จะทำอย่างไร เลือกที่จะปล่อยมันผ่านไปโดยการเฝ้ามองดูเฉยๆ หรือ ก้าวออกไปยื่นความช่วยเหลือให้กับผู้ที่เดือดร้อน ผมเชื่อว่ามนุษย์เราทุกคนมีความเป็น KICK ASS อยู่ในตัวลึกๆครับ เพียงแค่ว่าเราจะเลือกดึงมันออกมาเพื่อสวมบทบาทตอนไหนเท่านั้นเอง และเมื่อมีคนแรก เชื่อเถอะครับมันจะเป็นแรงบัลดาลใจให้กับคนอื่นอีกมากมายในการก้าวออกมายืน หยัดในความยุติธรรมอย่างคาดไม่ถึงแน่ๆ และเมื่อถึงตอนนั้นก็เป็นเวลาไล่เตะก้นคนเลวให้หมดไปจากสังคมสักที !!!!!



3.Up in the Air


หนังของคนโสดที่บาดใจจนอธิบายไม่ถูกจริงๆ ส่วน George Clooney ก็เล่นได้เยี่ยมจริงๆ ให้ตายเหอะ ! 



2.Shutter Island


“เกาะลึกลับเพียงใดยังค้นได้ แต่ใจคนนั้นไซน์ยากแท้หยั่งถึง”

หนังเรื่องนี้กลายมาเป็นหนังของผกก. Martin Scorsese ที่ผมชื่นชอบที่สุดครับ ด้วยการนำเสนออย่างมีชั้นเชิง และหลอกล่อผู้ชมอย่างชาญฉลาด และ บทภาพยนตร์ขั้นเทพที่นานๆจะเจอสักเรื่อง ในส่วนของนักแสดงคู่บุญ Leonardo DiCaprio ก็ถือว่าแสดงได้อย่างยอดเยี่ยมไม่แพ้กับตัวหนังครับ



1.Alice in Wonderland


Alice in Wonderland ฉบับ 3 D ของผกก. Tim Burton เมื่อมองโดยรวมแล้วจัดเป็น Alice ฉบับที่ผมชอบมากที่สุดครับ นอกจากงานด้านภาพที่หวือหวาสวยงามแล้ว ด้านนักแสดงสาวอย่าง Mia Wasikowska ก็สวยใสขึ้นจอสุดๆจากบทนำของเรื่องอีกด้วย ส่วนรายของ Johnny Depp ก็ตีบทแตกตามเคย โดยรวมแล้วนี่เป็นหนังที่ครบเครื่องความบันเทิงที่สุดของครึ่งปีแรก 2010 ครับ !

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น