วันพฤหัสบดีที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2554

“บางกอกกังฟู” หนังรวมดาราระดับ Super Star


“บางกอกกังฟู” หนังรวมดาราระดับ Super Star
ฝีมือ “ต้อม ยุทธเลิศ” และ “ฟิล์ม อาร์ อัส”






เรายังไม่รู้ว่า บริษัท “ฟิล์ม อาร์ อัส” ในเครือ อาร์เอส อนาคตข้างหน้า จะยังคงมีการผลิตหนังออกมาอีกหรือไม่ แต่ “บางกอกกังฟู” นี่คือหนังเรื่องล่าสุดที่ไม่มีใครรูว่าจะเป็นเรื่องสุดท้ายไหม? ของ บริษัท “ฟิล์ม อาร์ อัส” ที่จับมือกับผู้กำกับแถวหน้าของเมืองไทย “ต้อม ยุทธเลิศ สิปปภาค” ที่นำ 4 หนุ่ม 1 สาว ที่มีชื่อเสียงระดับ Super Star ของเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็น “เป้-อารักษ์ อมรศุภศิริ”, “มาริโอ้ เมาเร่อ”, “แบงค์-อธิกิตติ์ พริ้งพร้อม (วงแบล็ค วานิลลา)”, “โทโมะ-วิศวะ ไทยานนท์ (วง เคโอติก)” และ “แก้ว-จริญญา ศิริมงคลสกุล (วง เฟย์ ฟาง แก้ว)” แปลงโฉมเป็นคนพิการ ที่ได้เข้ารับการถ่ายทอดวิทยายุทธ์จากสำนักเส้าหลิน จนเก่งกล้าเพื่อเตรียมกลับมาล้างแค้นฝ่ายอธรรมที่เป็นต้นเหตุทำให้ชีวิตของพวกเขาเกือบถึงจุดจบ นั่นเองเป็นจุดเริ่มต้น ของการตามหาความรัก ความฝัน เเละการตามหาอดีต...เพื่อล้างเเค้น ความมันส์ ของหนังรักร่วมสมัย ผสมกลิ่นอายของหนังจีนกำลังภายใน ซึ่งเข้าฉายในวันที่ 1 กันยายนในโรงภาพยนตร์


ต้อม ยุทธเลิศ พูดถึงหนังเรื่องล่าสุดที่กำลังเข้าฉาย “บางกอกกังฟู”
“เรื่องนี้เป็น concept หนังกำลังภายใน ก่อนหน้านี้ผมเคยจะทำอยู่ทีกับเรื่อง โคตรมหากาฬ แต่ว่าโครงการถูกระงับไปเพราะตอนนั้น พอดีเสี่ยเจียง(สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ แห่ง สหมงคลฟิล์ม)เข้าโรงพยาบาลพอดี ก็เลยยาวเลย เคยถามแกว่า จำโปรเจ็กต์นี้ได้ไหม แกจำไม่ได้ แล้วก็นานมากแล้ว ขณะเดียวกันเราก็ไปทำอย่างอื่นนั่นนู่นนี่ จนว่าเอออ...เรามีโปรเจ็กต์แบบนี้อยู่ แล้วก็ไม่อยากเอาตลกมาเล่นแล้ว ก็เลยวางconcept เรื่องนี้ “บางกอกกังฟู” ให้เป็นหนังกำลังภายใน แต่เป็นวัยรุ่นเล่น เป็นหนังกำลังภายในร่วมสมัยแบบ Fight Club อะไรอย่างเนี่ย mood เป็นแบบนี้
พอเฮียฮ้อ(สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ แห่งอาร์เอสฯ) อนุมัติปุ๊บ เราก็เริ่มเจาะเขียนบท มาวิเคราะห์ว่า กำลังภายใน ของเราหมายถึงอะไร กังฟูคืออะไร จริงๆหนังเรื่องนี้อยากเรียกว่า บางกอกกำลังภายใน แต่ว่า ชื่อเรียกยากไปก็เลยเป็นบางกอกกังฟู แต่จริงๆแล้วเป็นหนังกำลังภายใน แล้วกำลังภายใน คือมันแตกต่างจากกังฟู ตรงที่ มันจะเป็นต่อสู้ด้วยมือเปล่าแบบเฉินหลง แต่กำลังภายในจะเหาะ เหิน เดินอากาศ แบบเรื่องเรื่อง Hero แบบเรื่อง crouching tiger hidden dragon ซึ่งตรงนี้สามารถทำให้เราใช้งาน design ได้มากกว่าใช้ทาง technics ถ้าเป็นกังฟู นักแสดงต้องมีความสามารถ เป็นเรื่องเทคนิคล้วนๆ แต่กำลังภายใน เราออกแบบให้สนุกได้”
นอกจากการที่หนังมีรูปแบบของหนังกำลังภายใน โดยมีดาราวัยรุ่นนำแสดงแล้ว ตัวละครก็มีบุคลืกพิเศษด้วย
“ พอสร้าง plot เสร็จว่าจะเป็นหนังแบบนี้ แต่ mood เป็นหนังกำลังภายใน ซึ่งสมัยก่อน จะเป็นแบบ เดชไอ้ด้วน เดชไอ้บอด อะไรเต็มไปหมด เราก็เอา character ที่แข็งแรงพวกนั้นมาไว้ในหนังเรื่องเดียว ก็มี ไอ้ใบ้ ไอ้บอด ไอ้หนวก มาอยู่ในหนัง ซึ่งการเลือกตัวละครก็จะเริ่มจากคือหนังกำลังภายในจะเป็นเรื่องของ กำลังฝ่ามือ ก็มานั่งวิเคราะห์ว่า มือของคนเรามีนัยยะอะไรหลายอย่าง อยู่เนี่ย เคยมีใครเอาไปทำเป็น plot ไปสร้าง character หรือยัง เท่าที่คิดดูมันยังไม่มี ก็เลยสร้าง character จากมือคือนิ้วโป้ง ก็คือคนที่แข็งแรงที่สุด นิ้วชี้คือคนที่บงการ นิ้งกลางก็คือตัวกลางที่เป็นกลาง ไม่ได้ไปข้างไหน นิ้วนางคือคนที่อ่อนแอ นิ้วนางคือคนที่อ่อนหวาน ซึ่งน่าจะเป็นผู้หญิง หนังเรื่องนี้ก็น่าจะมีผู้หญิงคนเดียว แล้ว 1 หญิง 4 ชาย มันก็น่าจะเป็นหนังรักได้ มีความ conflict อยู่ด้วยก็ค่อยๆแตกๆไปเรื่อยๆ”
เป็นความตั้งใจที่จะดึงดาราแถวหน้าระดับ Super Star มารวมตัวกันในหนังเรื่องนี้
“หลายเรื่องที่ทำงานกับตลก มันซ้ำตัวเองด้วย มันไม่สนุก เปลี่ยนๆบ้าง ก่อนหน้านี้ก็ทำมือปืนดาวพระศุกร์ ดาวพระเสาร์ ก็ขนตลกมารวมกัน งั้นก็คงต้องเป็นวัยรุ่นบ้าง จริงๆก็มาจากความคุ้นเคยกันก่อน ซึ่งตอนร่วมงานกับ เป้(เป้-อารักษ์ วงเสลอ ร่วมงานในหนังเรื่อง รักสามเศร้า) เขายังไม่ได้เป็น superstar แต่ตอนนี้ก็เป็น superstar กันหมดแล้ว มาริโอ้ก็เป็นแล้ว โทโมะ ก็เป็นสาย popstar แก้วก็ popstar คือหนึ่ง ถ้าคิดในแง่ดีก็น่าจะมีแฟนหนังเยอะขึ้น แฟนเพลงก็จะกลายมาเป็นแฟนหนัง มันก็เป็นผลดี ข้อสอง คือเราเคยทำงานกับพวกเขาด้วย เป้กับมาริโอ้ คุยกันแป๊บเดียวไม่มีปัญหา 3 คนที่เหลือก็เหมือนกระจายกลุ่มมาอีกฝั่งหนึ่ง ทางอาร์เอส ก็เป็นเรื่องการตลาดที่จะทำให้หนังขายง่ายขึ้น อีกอย่างก็ความสะดวกในการจัดคิวนักแสดง”



ตอนแรกเรื่องนี้จะมีฉากแอ็คชั่นอยู่เยอะ ต่อมาได้ปรับเปลี่ยนเป็นหนังที่เน้นเรื่องความรักมากขึ้น
“ใช่ครับ คือพอถ่ายทำไปเราเจอปัญหาหลายอย่าง ความตั้งใจที่จะเป็นหนังแอ็คชั่นในตอนแรก เราทำไม่ได้ 100% เพราะว่า ด้วย technics ด้วยเงินทอง เวลาการฝึกฝนของเรา แต่ละคนเวลาฝึกฝนน้อย แล้วในเชิง technic เนี่ย บุคลากรในบ้านเราไม่มีความเชี่ยวชาญ ในด้านกังฟู เหาะเหิน เดินอากาศ เรื่อง sling เรายังไม่พร้อม ก็เลยต้องเปลี่ยน แล้วอีกอย่าง คือวัยรุ่นก็ยังสนใจ เรื่องใกล้ตัว แล้วสิ่งที่วัยรุ่นสนใจที่สุดก็น่าจะเป็น เพื่อน แล้วก็ ความรัก ที่อยู่ใกล้ตัวเขาที่สุด กำลังภายในคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัวเขามาก แล้วกำลังภายในวัยรุ่นสมัยนี้ไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร ไม่รู้จัก ก็เลยคิดว่ามาทางนี้ดีกว่าแล้วที่ตัดสินใจมาทางนี้เพราะว่า หนึ่ง มันน่าจะส่งผลดีตรงที่ ทำให้รูปแบบของหนัง กำลังภายใน หนังแอ็คชั่น มีทางเลือกอีกแบบหนึ่ง ไม่ได้ซ้ำรอยเดิมที่ต้องไปตามล้างแค้น ต้องตีลังกากันหลายตลบ จนไม่รู้จะเป็นแบบไหน ซึ่งถ้าไปทางเดิมก็จะไปซ้ำรอยเดิมที่มีอยู่ ก็เลยตัดสินใจมาทางนี้ ในทางนุ่มนวล แล้วเราก็เพิ่ม story ของแต่ละ character จากมี line เดียวคือ line ล้างแค้น ก็จะเป็นการตามหาฝันของ แก้ว นางเอก การกลับไปหาอดีตของ เป้ การตามล้างแค้นของ โทโมะ กับ แบงค์ แต่ทั้ง 3 line ก็จะถูกยึดด้วย ความรัก ความผูกพัน เราให้detail ในความละเอียดอ่อน คือแทนที่เราจะสนใจเรื่องการตีลังกา ก็ให้มาสนใจว่าเขาคิดอะไรกันอยู่ เขาอยากทำอะไรกันต่อ เขาจะจบกันยังไง เขาจะไปกันยังไง”
เป็นเพราะช่วงนี้อยู่ในกระแสของหนังรักด้วยไหม
“จริงๆโปรเจ็กต์นี้เริ่มก่อนที่หนังรักจะประสบความสำเร็จ ซ่งผมว่าไม่เกี่ยวหรอก เพราะมีหนังรักหลายเรื่องที่ไม่ประสบความสำเร็จ มันแล้วแต่หนังมากกว่า หนังรักวัยรุ่นบางเรื่องไม่มีใครสนใจก็มี น่ากลัวเหมือนกัน ถ้าเกิดเรามองกระแส เราก็ไม่ควรจะทำ แต่มันอยู่ที่เราต้องการพูดอะไรมากกว่า แล้วมันพูดตรงจุดหรือเปล่า แค่นั้นมากกว่า”


ด้วยตัวละครแต่ละคนมีบุคลิกความพิการอยู่ ถือว่าเป็นความยากลำบากไม่น้อย
“ใช่ มันไม่ใช่แค่เดินมาแล้วพูด มันต้องประคอง character ตาบอด คนตาบอดพูด กับคนหูหนวกพูด กับ คนใบ้พูด มันไม่เหมือนคนปกติ แล้วมันไม่พูดเหมือนที่เขาเป็นด้วย แต่นี่คือการแสดงที่เขาได้แสดงจริงๆจังๆ มันไม่ใช่เหมือนเล่นเป็นตัวเองนะ คุณ เล่นเป็นตัวเองไม่ได้ เพราะคุณไม่เคยตาบอด งั้นมันเป็นการแสดงล้วนๆ แต่ทำยังไงให้เป็นธรรมชาติ ให้คนอื่นรู้สึก ตรงนี้เหมือนกับว่าคนดูได้อะไร ไม่ใช่แบบ เป้ เป็นยังไง มาเรื่องนี้เหมือนเดิมอีกแล้ว ผมว่าตรงนี้คนดูจะได้กำไรในส่วนนี้มากกว่า”
โดยรวมของหนังเรื่อง “บางกอกกังฟู” ความน่าสนใจของหนังเรื่องนี้
“ผมว่าตัวละครเลย ความน่าสนใจของเรื่องนี้ก็คือ หนึ่งการรวมตัวของ ซุป’ตาร์ นั้นคือหนึ่งหล่ะ แต่ character ที่เขาได้รับ และการแจกแจงบทในหนัง ทำยังไง ที่แต่ละคนจะได้น้ำหนักเท่ากัน โดยที่แฟนแต่ละกลุ่มไม่รู้สึกว่าดาราที่เขาชื่นชอบเล่นน้อยไป นี่คือสิ่งที่น่าสนใจ เวลาเราดูหนังที่รวมดาราเยอะๆ เรารู้สึกว่าดาราบางคนไม่มาก็ได้ ผมไม่ชอบหนังแบบนั้น แต่ด้วย concept ที่วางไว้แข็งแรงตั้งแต่แรก คือมือเมื่อนิ้วใดขาดไปนิ้วหนึ่ง คุณจะพิการทันที แต่ว่าถ้าแยกมาแต่ละคน มันอาจจะไม่มีใครสนใจก็ได้ แต่พอรวมกันมันมี character แต่ไม่รู้ว่าโครงสร้างที่ผมวางไว้มันจะได้ผลหรือเปล่า ผมคิดว่าตัวละครมีเยอะแต่ทุกคนชัดเจนมาก ทุกคนมี conflict ทุกคนมีเป้าหมาย ทุกคนมีทางเลือกของตัวเอง ตัวละคร 5 ตัวมีชีวิตทุกคน นอกจากตัวละครเยอะ เรายังมีเรื่องราวให้ติดตามด้วย”


ใน “บางกอกกังฟู” จะมีหลากหลายอารมณ์
“มีทั้ง Romantic มีทั้ง Drama มีทั้ง Action มีความผูกพันแบบเด็ก มีความรักแบบหนุ่มสาว ครอบครัว ความรักฉาบฉวย มี Comedy มีหลายอารมณ์เลย คนที่ชอบหนังรักมาดูหนังของเราก็จะ Happy ผมพยายามทำหนังให้เต็มที่ ตอบโจทย์ให้กับคนดูหนังมากที่สุด ผมว่า บางกอกกังฟู ก็ดูจะเป็นหนังทดลองอีกแล้ว แต่ว่าแฟนของเป้ แฟนๆของ เคโอติก แฟนของ เฟย์ฟางแก้ว แฟนๆของแบล็ควนิลา แฟนของ มาริโอ้ จะชอบหนังเรื่องนี้ ผมหวังว่าอย่างนั้น”
โดยรวมหนังเรื่อง “บางกอกกังฟู” เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร
“หนังเรื่องนี้เป็นหนังรักแอ็คชั่น และเป็นเรื่องที่แอบพูดถึงเรื่องของสังคมเล็กๆ ในสภาพสังคมของเมืองไทย เด็กที่ไม่ได้รับการดูแล เด็กขาดความอบอุ่น หรือเด็กที่มีปัญหา จะถูกถ่ายทอดออกมาผ่านตัวละครในเรื่อง คือแม้ว่าจะอยู่ในสังคมที่ไม่สมบูรณ์ อยู่ในสังคมที่เลวร้าย แต่ความผูกพันของการได้รับการสั่งสอนที่ดี และด้วยความสัมพันธ์ของกลุ่มเพื่อนที่ดี ก็ทำให้สามารถเอาตัวรอดได้ เรื่องนี้ค่อนข้างชัดเจนคือ เราไม่ได้เอาความพิการตรงนี้มาถ่ายทอด เราไม่ได้เอาคนพิการมาล้อเลียน แต่เราเอาคนพิการมาเป็นฮีโร่ เอามาเป็นพระเอก ซึ่งเราจะสะท้อนถึงเรื่องของเด็ก ที่ถูกทำร้ายร่างกาย เค้าจะเอาตัวรอดอย่างไร แล้วอีกอย่างคือ ไม่ว่าคุณจะเจออะไรที่เลวร้าย ถ้าคุณได้รับการปลูกฝังที่ดี ก็จะเอาตัวรอดจากสังคมที่เลวร้ายได้ หนังเรื่องนี้ประเด็น ค่อนข้างรุนแรง เป็นหนังสังคม แม้หนังจะพูดถึงสิ่งที่เลวร้าย แต่เราก็พูดถึงความรักที่มีหวัง มีความหวังอยู่ในนั้นด้วย”
หลังจาก “บางกอกกังฟู” แล้วทางอาร์เอสฯจะไม่มีโปรเจ็กต์หนังเรื่องอื่นตามออกมาอีก
“มันเหมือนต้องคิดเยอะ ต้องจับกระแสตลาดเยอะ ปล่อยโปรเจ็กต์แบบผ่านๆไม่ได้ ผมว่าทุกบริษัทเป็นอย่างนี้ ตอนนี้ ทุกบริษัทต้องตั้งสติ คนดูเขาดูมาเยอะก็เหมือนจะรอดูหมัดเด็ดอย่างเดียว แย็ปไม่เอา เพราะหนังในตลาดมันเยอะ อยู่ๆจะทำมาแล้วฉายเลย ก็เจ๊งให้เห็น ถ้าผู้กำกับไม่แข็ง นักแสดงไม่แข็ง Story ไม่ดี ผมว่า คงไม่มีใครเปิดทำ ทางอาร์เอสก็คงรอผลจาก บางกอกกังฟู ผลออกมาเป็นยังไงมั้งครับ คงหมดเซ็ตปีนี้ แล้วค่อยดูว่าเราจะไป direction ไหน เพราะว่าตลาดของอาร์เอสก็คือตลาดของอาร์เอส เราไม่ได้ตีออกไปตลาดของคนอื่น ผมว่าอาร์เอสน่าจะมองว่าถ้าจะทำก็เป็นแฟนคลับวัยรุ่นตรงนี้ อาจจะต้องยอมรับความจริงว่าถนัดทางไหน เราทำอะไรได้ดีที่สุด แล้วทำให้ตรงกลุ่มเป้าหมายของเรา ถึงตอนนั้นก็ต้องดูว่าผมอยากจะทำหนังวัยรุ่นอีกหรือเปล่า หรือคงต้องหาคนอื่นมาทำแทน (ทำหน้าที่Producer)”
ร่วมงานกับทาง อาร์เอส มาหลายครั้ง มองอนาคตของทาง อาร์เอส เขายังอยากทำหนังต่ออีกไหม
“ด้วยความที่ทางอาร์เอส ไม่ได้คิดหนังขึ้นมาเอง มันอยู่ที่ว่าบุคลากรที่จะทำหนัง มีมากแค่ไหน ผมเป็น Freelance หลังจากนี้ก็คงคุยกันว่าเราจะวางอะไรยังไง ส่วนใหญ่ก็ขึ้นอยู่กับหนังที่ประสบความสำเร็จ ที่ผ่านมายังไม่มีหนังที่ประสบความสำเร็จมากนัก ก็คงต้องลุ้น ก็ต้องสู้กันต่อไป”
โดยโครงสร้างของ “บางกอกกังฟู” ก็น่าจะเป็นหนังที่ประสบความสำเร็จได้ มองอย่างนั้นไหม
“ผมว่านะ มันวัดกันตั้งแต่วันแรก ถ้าเปิดมาหนังวันแรก 10 ล้าน ผมว่าหนังสามารถลากต่อได้ ด้วยตัวหนัง ด้วยความไม่น่าเบื่อของหนังเอง ในความมีอะไรของมัน ถ้าเกิดเปิดมาไม่ดี ก็จะบอกได้ทันที ว่ามันคืออะไร มันวัดกันที่วันแรก บางทีปากต่อปากมันไม่ทัน เพราะเราไม่ได้ research คนทุกคนว่า ตอนนี้ตลาดกลุ่มใหญ่ คือวัยรุ่นอยากดูอะไรจริง ๆ มันไม่ได้หมายความว่าหนังของ มาริโอ้ เขาจะดูทุกเรื่องนะ ไม่ได้หมายความว่าเอานักร้องดังมา แล้วจะประสบความสำเร็จ มันไม่มีอะไรบอกได้ เรา คาดเดาไม่ถูกเลย ว่าความอยากดูหนังของคน มันขึ้นอยู่กับอารมณ์ ในวันนั้นเลย เป็นเรื่องของดวงล้วนๆ”
ทำไมหนังไทยบางเรื่องประสบความสำเร็จ บางเรื่องก็พังยับไม่น่าเชื่อ
“ผมว่าคนดูชัดเจนน่ะ ผมว่าเขายังชอบหนังตลาดที่ดูสนุกอยู่ ผมว่าคนไม่ได้เบื่อตลกคาเฟ่นะ ที่ไม่ประสบความสำเร็จเพราะหนังไม่สนุก ถ้าวันหนึ่งใครทำตลกคาเฟ่ที่สนุกมากๆ มันก็เกิน 100 ล้านได้ ผมเชื่ออย่างนั้น มันเหมือนแต่งเพลง ทุกปีก็มีเพลงรักขึ้น chart อยู่นั่น ไม่เห็นมีใครเบื่อ ผมว่ามันแบบเดียวกัน เหมือนหนังเรื่อง Fast Five ทำมาแล้ว 4 ภาคคนก็ยังดูอยู่ถ้ามันสนุกขึ้นเรื่อย หนังเรื่อง Transformers ก็สนุกขึ้นเรื่อยๆ คนก็ดู”
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น