วันพฤหัสบดีที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2554

Final Destination 5 - “โกงกี่ครั้งก็ยังตาย (ยาก) !”


Final Destination 5 - “โกงกี่ครั้งก็ยังตาย (ยาก) !”



[บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของภาพยนตร์]

“Final Destination 5” ภาคต่อล่าสุดของหนังตระกูลโกงความตายที่มีการดำเนินเรื่องตามรอยภาคก่อนหน้านี้อย่างไม่มีอะไรเปลี่ยน แต่สิ่งที่หนังพยายามเน้นให้เด่นนอกจากระบบ 3D แล้วก็คงเป็นเรื่องของ “ฉากการตาย”ของบรรดาตัวละครต่างๆในเรื่องที่มาพร้อม ‘ความโหด’ ชวนแหวะกว่าภาคก่อนๆอย่างเห็นได้ชัด สิ่งเดียวที่หนังทำได้ดีก็คือฉากอุบัติเหตุสะพานถล่มช่วงเปิดเรื่อง และบทสรุปของเรื่องที่เป็นความเซอร์ไพรส์เล็กๆให้กับแฟนหนังชุดนี้เพียงเท่านั้นจริงๆ


หนังเล่าเรื่องราวของ Sam ชายหนุ่มพนักงานบริษัทที่เกิดนิมิตระหว่างที่รถบัสพร้อมเหล่าเพื่อนๆร่วมงานกำลังเดินทางจะไปเที่ยวพักผ่อนสุปสัปดาห์เกิดประสบอุบัติเหตุสะพานถล่มซึ่งมีผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก เมื่อรู้สึกตัวเขาจึงพยายามยุให้ทุกคนในรถบัสหนีลงจากรถและออกไปให้พ้นสะพานนี้ให้เร็วที่สุด ก่อนที่เหตุการณ์สะพานถล่มจะเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาบรรดาพวกเขาที่รอดชีวิตอย่างหวุดหวิด โดยที่พวกเขาไม่ทันคาดคิดมาก่อนว่าความตายไม่ชอบถูกโกงและมันหาหนทางทวงคืนทุกวิถีทาง !!



การมาของ “Final Destination 5” เป็นที่น่าสังเกตตั้งแต่การเลือกที่จะขึ้นไตเติ้ลหนัง ด้วยภาพสารพัดอุปกรณ์ที่สังหารตัวละครในภาคก่อนๆมาประเคนพุ่งใส่หน้าจอ ซึ่งแน่นอนนี่คือการหวังผลสำหรับสร้างความบันเทิงในผู้ที่ตีตั๋วเข้ามาชมในระบบ 3D อย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งแม้จะมีข้อดีตรงที่ทำให้ผู้ชมได้ตื่นตากับภาพ 3D ตั้งแต่นาทีแรก แต่มองในอีกแง่คือเหมือนหนังจงใจที่จะบอกเป็นนัยๆว่าผู้สร้างมาเพื่อเน้นจุดนี้มากว่าส่วนของเนื้อหานั่นเอง และโดยส่วนตัวแล้วถือว่าไม่ชอบเลยที่หนังเลือกจะเปิดเรื่องเช่นนี้ เพราะเหมือนความเป็นเสน่ห์บางอย่างของหนังขาดหายไปกลายมาเน้นเพียงความโหดอย่างเดียวไปแล้ว


เมื่อว่ากันถึงสาเหตุการตายของตัวละครต่างๆในเรื่องในภาคนี้จะพบว่า ตัวละครแทบทุกตัวมักจะประสบ ‘จังหวะแรก’ของสถานะการณ์ชวนให้ถึงแก่ฆาตที่น่าหวาดเสียวที่ผู้ชมจะได้ลุ้นกันว่าจะจบลงอย่างไร ก่อนที่หนังจะใส่สาเหตุการตายจริงๆใน ‘จังหวะที่สอง’ ให้ได้แปลกใจกันเล็กน้อย ยกตัวอย่างตัวละคร Candice เหยื่อรายแรกที่ความตายจ้องเอาคืน ด้วยฉากการเต้นบนแท่งยิมนาสติกที่มีหัวสกรูปลายแหลมหล่นมาอยู่บนแท่ง พร้อมสายไฟสภาพไม่สมบูรณ์อยู่ใกล้ๆจุดที่น้ำแอร์หยดลงมา ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ก็เพียงพอแล้วที่จะสร้างสาเหตุการตายให้เธอได้ แต่ถึงกระนั้นหนังกลับเล่นกับความรู้สึกผู้ชมด้วยการใส่ปัจจัยอื่นพ่วงเข้าไปอีกในนาทีสุดท้ายจนเกิดเป็นสาเหตุการตายที่แตกต่างออกไปจากปัจจัยแรกๆที่ควรจะเป็น (กรณีนี้ก็คือ แป้งฝุ่น และ ตัวนักยิมนาสติกคนที่เหยียบไปโดนสกรูจนล้ม) ซึ่งการใส่ลูกเล่นนี้ลงไปก็ถือว่าสร้างความรู้สึกชวนลุ้นให้กับผู้ชมได้ในระดับหนึ่ง


แต่มองในอีกแง่หนึ่งแล้วลักษณะการตายของตัวละครต่างๆในภาคนี้ล้วนออกมาแนว ‘ความตายประดิษฐ์’ มากกว่าที่จะรู้สึกเหมือนว่าเป็นความตายที่เกิดจากเหตุสุดวิสัยหรือตามธรรมชาติอย่างในภาคแรกๆ ทั้งที่จริงความรู้สึกนี้เริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่หนังภาคที่ 4 บ้างแล้ว แต่ในภาคใหม่นี้ถือว่าชัดเจนกว่ามาก



นอกจากนี้แล้วในส่วนที่เป็น ‘ข้อด้อย’ ที่เด่นชัดอีกอย่างของภาคนี้คือการแสดงของนักแสดงทุกคนในเรื่องที่แข็งทื่อและไร้อารมณ์อย่างน่าแปลกใจกับหนังแนวนี้ ไม่ว่าจะเป็น Nicholas D'Agosto ในบท Sam ชายหนุ่มผู้เห็นนิมิตโกงตายในภาคนี้ ซึ่งนี่ถือว่าเป็นบทที่เน้นความจริงจังในหนังแนวสยองขวัญเรื่องแรกของเขาก็ว่าได้ เพราะผลงานสร้างชื่อส่วนใหญ่ของตานี่ล้วนเป็นหนังโรแมนติกคอมเมดี้ล้วนๆ อาทิ Fired Up! (2009) หรือ From Prada to Nada (2011) และแน่นอนว่าเขาไม่สามารถถ่ายทอดอารมณ์ของผู้ที่รอดตายและเป็นแกนหลักในการเอาชีวิตรอดในกลุ่มเพื่อนๆได้เลย แม้แต่สีหน้าตกใจหรือหวาดผวาจากการที่เพื่อนๆทยอยตายต่อหน้า ตานี่ก็ยังตีหน้านิ่งๆเป็นทองไม่รู้ร้อนอยู่ดี และไม่ใช่ว่าจะเป็นเพียงคนเดียว เพราะนักแสดงคนอื่นๆในเรื่องอย่าง Emma Bell, Miles Fisher , P.J. Byrne หรือ David Koechner ก็ล้วนแสดงได้แข็งทื่อไร้อารมณ์ทั้งสิ้น จะมีก็แต่ Jacqueline MacInnes Wood ที่แสดงสีหน้าหวาดกลัวให้ผู้ชมได้เห็นบ้างแม้จะเพียงฉากเดียวก็ตาม ส่วนรุ่นใหญ่จากภาคก่อนอย่าง Tony Todd นั้นถือว่ารอดตัวไปเพราะการแสดงที่อาศัยเฉพาะมาดบทนี้พี่แกสอบผ่านตามเคยอย่างที่ผ่านๆมา



(ยังไม่นับมุกตลกที่หนังพยายามใส่เข้ามาหลังฉากสยองสุดโหดที่ไม่ได้ช่วนให้ตัวหนังดีขึ้นแต่อย่างใด ทั้งยังทำให้อารมณ์ขึงขังของเรื่องขาดหายไปเข้าไปอีก)



โดยรวมแล้ว “Final Destination 5” จัดเป็นภาคที่สนุกและมีความน่าติดตามน้อยที่สุดในบรรดาทุกภาคที่ผ่านมา ด้วยการที่หนังหันไปเน้นฉากโหดชวนแหวะและงานด้านภาพมากจนละเลยในส่วนการดำเนินเรื่องและรายละเอียดปลีกย่อยต่างๆจนหนังหมดความน่าสนใจและเสนห์ดึงดูดที่เคยมีจนหมด จนแทบไม่มีอะไรให้จดจำเลยนอกจากฉากสะพานถล่มและความรู้สึกย้อนไปถึง ‘ความเยี่ยม’ ที่หนังภาคแรกเคยทำไว้จากฉากจบที่หนังภาคนี้ทิ้งท้ายไว้เท่านั้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น